วันอังคารที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552


ดาวหางลู่หลิน (C/2007 N3 Lulin)
2 กุมภาพันธ์ 2552 วรเชษฐ์ บุญปลอด
จากข้อมูลถึงขณะนี้ ปี 2552 ยังไม่มีดาวหางดวงใดที่สังเกตเห็นได้ง่ายด้วยตาเปล่า ดาวหางลู่หลิน (C/2007 N3 Lulin) เป็นดาวหางดวงเดียวที่มีโอกาสจะสว่างถึงระดับที่สังเกตการณ์ได้ไม่ยากนักด้วยกล้องสองตา โดยเฉพาะในคืนที่ไม่มีแสงจันทร์รบกวน ภายใต้ฟ้ามืดห่างจากเมืองใหญ่
ดาวหางลู่หลินถูกค้นพบเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2550 จากภาพถ่ายที่หอดูดาวลู่หลินในไต้หวัน โดยเย่ ฉวนจื้อ (Quanzhi Ye) นักศึกษาชาวจีนของมหาวิทยาลัยซุนยัตเซ็นบนจีนแผ่นดินใหญ่ ขณะนั้นดาวหางมีอันดับความสว่างหรือโชติมาตร 18.9 จางกว่าที่ตาเปล่าของมนุษย์จะมองเห็นได้ราว 100,000 เท่า รายงานในตอนแรกระบุว่าเป็นดาวเคราะห์น้อย ต่อมาสังเกตพบโคม่ามีใจกลางสว่าง อันเป็นลักษณะของดาวหาง


ตำแหน่งดาวหางบนท้องฟ้าประเทศไทย
ต้นเดือนมกราคมดาวหางปรากฏบนท้องฟ้าทิศตะวันออกในเวลาเช้ามืดที่โชติมาตร 7-8 ในกลุ่มดาวคันชั่ง ใกล้ส่วนหัวของกลุ่มดาวแมงป่อง แต่ยังสังเกตได้ค่อนข้างยากเพราะอยู่สูงจากขอบฟ้าไม่มากนัก กลางเดือนหรือปลายเดือนมกราคม 2552 ดาวหางจะออกห่างจากดวงอาทิตย์มากขึ้นและเริ่มสังเกตการณ์ได้ดี ดาวหางเข้าสู่กลุ่มดาวหญิงสาวในกลางเดือนกุมภาพันธ์ คาดว่าเป็นช่วงที่มีโชติมาตรประมาณ 6 ปลายเดือนดาวหางเคลื่อนไปอยู่ตรงข้ามกับดวงอาทิตย์ สามารถสังเกตได้ทั้งคืนตั้งแต่เวลาหัวค่ำถึงเช้ามืด และโชคดีที่เป็นช่วงที่ไม่มีแสงจันทร์รบกวน
วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2552 ดาวหางลู่หลินเข้าใกล้โลกมากที่สุดที่ระยะห่าง 0.411 หน่วยดาราศาสตร์ คาดว่าจะมีโชติมาตรราว ๆ 5 หรือ 6 เช้ามืดวันนั้นดาวหางอยู่ห่างไปทางทิศใต้ของดาวเสาร์ประมาณ 2° วันที่ 26 กุมภาพันธ์ ดาวหางจะอยู่ตรงข้ามกับดวงอาทิตย์ มันอาจสว่างขึ้นได้เล็กน้อยจากระดับปกติ เนื่องจากวันนั้นดาวหางอยู่ใกล้ระนาบสุริยวิถี หลังจากนั้นจึงจะจางลง
คืนวันที่ 27 ถึงเช้ามืดวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ดาวหางผ่านใกล้ดาวหัวใจสิงห์ในกลุ่มดาวสิงโตที่ระยะไม่ถึง 1° เข้าสู่กลุ่มดาวปูในช่วงต้นเดือนมีนาคม ผ่านใกล้กระจุกดาวรังผึ้งในคืนวันที่ 5 ถึงเช้ามืดวันที่ 6 มีนาคม (แสงจันทร์รบกวน) ปลายเดือนมีนาคมคาดว่าดาวหางจะจางลงไปที่โชติมาตร 8
ข้อมูลความสว่างของดาวหางล่าสุด (ปลายเดือนมกราคม - ต้นเดือนกุมภาพันธ์) เฉลี่ยอยู่ที่ 6.5 มีหางจางมาก 2 หาง ทอดยาวออกไปเกือบตรงข้ามกัน หางที่ดูเหมือนชี้เข้าหาดวงอาทิตย์เรียกว่าหางย้อน (antitail) มีโอกาสเห็นได้เมื่อโลกอยู่ในระนาบใกล้เคียงกับวงโคจรของดาวหาง การดูดาวหางดวงนี้ต้องใช้กล้องสองตาหรือกล้องโทรทรรศน์ โดยควรหาสถานที่ที่ไม่มีแสงไฟรบกวน เมืองใหญ่มีโอกาสเห็นน้อยมาก เนื่องจากดาวหางไม่สว่างนัก อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้เป็นการคาดหมายจากข้อมูลเท่าที่มีอยู่ ดาวหางเป็นวัตถุที่อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงในลักษณะที่ไม่สามารถคาดเดาได้ เช่น อาจจางลงหรือสว่างกว่าที่คาดไว้


วงโคจร
วงโคจรของดาวหางลู่หลินเกือบเป็นพาราโบลา แสดงว่านี่อาจเป็นครั้งแรกที่มันเคลื่อนเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ ระนาบวงโคจรเอียงทำมุม 178° กับระนาบวงโคจรโลก มันจึงเคลื่อนที่สวนทางกับทิศทางการเคลื่อนที่ของโลกและดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ มันเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุดเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2552 ที่ระยะห่าง 1.212 หน่วยดาราศาสตร์ (ประมาณ 181 ล้านกิโลเมตร) ก่อนจะใกล้โลกมากที่สุดในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ที่ระยะห่าง 0.411 หน่วยดาราศาสตร์ (ประมาณ 61.5 ล้านกิโลเมตร)


หมายเหตุ :
วารสารทางช้างเผือก ฉบับคู่มือดูดาว พ.ศ. 2552 ใช้ชื่อดาวหางว่าลูลิน เป็นดาวหางดวงเดียวกัน

วันจันทร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เก็บตกบล็อกอยากส่งจัทรน์ยิ้มน่ารักรับวาเลนไทน์






ภาพปรากฎการณ์ "พระจันทร์ยิ้ม" นี้ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่ง ชาติระบุว่า เป็นปรากฏการณ์ดวงจันทร์ ดาวศุกร์และดาวพฤหัสบดีอยู่ใกล้กัน (Conjunction of Moon, Venus and Jupiter) ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ในช่วงหัวค่ำของวันที่ 1 ธ.ค.นี้ โดยดาวศุกร์ และดาวพฤหัสบดีอยู่ห่างกันเพียง 2 องศา และดวงจันทร์ปรากฏเป็นเสี้ยว หันด้านมืดเข้าหาดาวเคราะห์ทั้งสองพอดี ทั้งนี้ดาวศุกร์จะสว่างกว่าดาวพฤหัสบดีและอยู่เยื้องต่ำกว่าเล็กน้อย ภาพปรากฎการณ์ "พระจันทร์ยิ้ม" นี้ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่ง ชาติระบุว่า เป็นปรากฏการณ์ดวงจันทร์ ดาวศุกร์และดาวพฤหัสบดีอยู่ใกล้กัน (Conjunction of Moon, Venus and Jupiter) ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ในช่วงหัวค่ำของวันที่ 1 ธ.ค.นี้ โดยดาวศุกร์ และดาวพฤหัสบดีอยู่ห่างกันเพียง 2 องศา และดวงจันทร์ปรากฏเป็นเสี้ยว หันด้านมืดเข้าหาดาวเคราะห์ทั้งสองพอดี ทั้งนี้ดาวศุกร์จะสว่างกว่าดาวพฤหัสบดีและอยู่เยื้องต่ำกว่าเล็กน้อย




http://iblog.siamhrm.com/content

จันทรุปราคาครั้งแรกของปี52













จันทรุปราคาเงามัว สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่จะเห็นเพียงแสงสว่างของดวงจันทร์ลดลงเท่านั้น
วันนี้ (9 ก.พ.) นายสิทธิชัย จันทรศิลปิน หัวหน้าฝ่ายท้องฟ้าจำลองกรุงเทพฯ ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา กล่าวว่า จันทรุปราคาปีนี้มี 2 ครั้ง ครั้งแรกเกิดในวันจันทร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ ซึ่งตรงกับวันมาฆบูชา แต่ว่าจะเป็นปรากฏการณ์จันทรุปราคาเงามัว เพราะว่าดวงจันทร์โคจรเข้าสัมผัสบริเวณเงามัวของโลกเท่านั้น เริ่มเกิดปรากฏการณ์เวลาประมาณ 19.36 น. ดวงจันทร์เข้าไปในเงามัวเต็มที่ 21.49 น. และจะเริ่มเคลื่อนออกจนสิ้นสุดเวลาประมาณ 23.39 น.
หัวหน้าฝ่ายท้องฟ้าจำลองกรุงเทพฯ ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา กล่าวว่า จันทรุปราคาเงามัว สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่จะเห็นเพียงแสงสว่างของดวงจันทร์ลดลงเท่านั้น ไม่มีการเว้าแหว่งแต่อย่างใดปรากฏการณ์จันทรุปราคา เกิดจากการที่ดวงจันทร์โคจรผ่านเข้าไปในเงาของโลก ทั้งดวงจันทร์ โลก และดวงอาทิตย์ โคจรมาอยู่ในระนาบเดียวกัน จึงมองเห็นดวงจันทร์แหว่งมากขึ้นจนหมดดวง และโผล่อีกครั้ง หรือที่เรียกว่า ราหูอมจันทร์ เกิดขึ้นในวันเพ็ญ 15 ค่ำ และมักจะเกิดหลังปรากฏการณ์สุริยุปราคา

วันพฤหัสบดีที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

By : http://sunflowercosmos.org/space_news/space_science_home/comet_lulin.html






ดาวหางใหม่ Comet Lulin (C/2007 N3) สำรวจพบเมื่อ 11 กรกฎาคม 2007 ด้วยความร่วมมือระหว่าง นักดาราศาสตร์ชาวจีนและชาวใต้หวัน โดย Quanzhi Ye (Guangzhou - China) และ Chi Sheng Lin (Lulin Sky Survey) ใช้เวลาสำรวจติดตามข้อมูลจาก Lulin Observatory - Nantou -Taiwan ( Lulin ซึ่งภายหลังเป็นชื่อดาวหาง แปลจากภาษาจีนมีความหมายว่า สวนกวาง) มาจากขอบระบบสุริยะ กำลังบ่ายหน้ามุ่งเข้าสู่ ดวงอาทิตย์ มีตำแหน่งเข้าใกล้โลกมีความสุกสว่างสามารถใช้กล้องทางดาราศาสตร์ สำรวจเห็นได้ และช่วงเดือนกุมภาพันธ์ สามารถมองเห็นด้วย ตาเปล่าได้ Comet Lulin เป็นก้อนน้ำแข็ง - หิน (Lump of ice and rock) ระดับความสุกสว่าง18.8 magnitude ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางระดับกิโลเมตร มีตำแหน่งในบริเวณหมู่ดาว Libra [ LYE-bruh /คันชั่ง] ความสุกสว่างระดับ 8 magnitude ช่วงเดือนมกราคม 2009 แต่ในเดือนกุมภาพันธ์2009 จะมีตำแหน่งใกล้โลกโดยเฉพาะในวันที่ 24 มีระยะห่างเพียง 0.41 AU.จากระยะวงโคจร ราว 60 ล้านกิโลเมตร จะมีความสุกสว่างมากขึ้น ระดับ 5 magnitudeสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้ (ลักษณะพร่าๆ) และหากใช้กล้อง Binoculars(กล้อง 2 ตา) ช่วยการสำรวจ จะค้นหาเป้าหมายได้ไม่ยากตรวจสอบ Orbit Diagram ข้อมูลจาก NASA ตรวจสอบ Orbital Elements และ Ephemeris ข้อมูลจาก The Minor PlanetCenter (MPC) และ Smithsonian Astrophysical Observatoryคำเตือน ขณะดาวหางมุ่งเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ หรือ มีระยะใกล้ดวงอาทิตย์การสำรวจในเวลากลางวัน ต้องระมัดระวัง ห้ามดูด้วยตาเปล่าโดยเด็ดขาดและใช้อุปกรณ์สำหรับดูดวงอาทิตย์ มิฉะนั้นมีอันตรายทำให้ตาบอดได้


อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ นักดาราศาสตร์ กำลังตรวจสอบเพิ่มเติมว่า Comet Lulinโคจรมาจากระยะไกลนั้น นับเป็นครั้งแรกที่ได้เข้าสู่ วงโคจรชั้นในของระบบสุริยะ (Inner solar system) หรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นจริง หมายความว่า เราได้ต้อนรับการมาเยือนของดาวหาง Comet Lulin (C/2007 N3) ในปีแห่งดาราศาสตร์สากล นอกจากนั้นด้าน ชีววิทยาอวกาศ เชื่อว่า ดาวหางเปลี่ยนเสมือน ตัวแมลงเล็กๆ ของระบบสุริยะ ที่บินไปบินมา หอบเอาเกสรแหล่งต้นกำเนิดชีวิต Origin of Lifeมาจากระยะไกล จากที่ต่างๆ อาจจากขอบระบบสุริยะ อาจจากแหล่งที่เราไม่รู้จักในแถบทางช้างเผือก เข้ามาทิ้งในอวกาศเข้าสู่โลก หรือดาวเคราะห์ ต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ

วันจันทร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

กรุณาดาวว์โหลดไฟล์googleลงคอมพิวเตอร์ของท่าน

วันจันทร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2552









Annular Eclipse of the Sun: 2009 January 26
1. สุริยุปราคาวงแหวน 26 มกราคม 2552
สุริยุปราคาครั้งแรกของปีเริ่มในช่วงบ่ายของวันจันทร์ที่ 26 มกราคม ตามเวลาในประเทศไทย ตรงกับวันตรุษจีน ดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลกจนมีขนาดปรากฏเล็กกว่าดวงอาทิตย์ จึงบังดวงอาทิตย์ไม่มิดหมดทั้งดวง เส้นทางสุริยุปราคาวงแหวนครั้งนี้ส่วนใหญ่อยู่ในทะเล เงามืดของดวงจันทร์เริ่มสัมผัสผิวโลกทางตอนใต้ของมหาสมุทรแอตแลนติกในเวลา 13.06 น. ตามเวลาประเทศไทย จากนั้นเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันออก เข้าสู่มหาสมุทรอินเดีย จุดที่เห็นสุริยุปราคาวงแหวนนานที่สุดอยู่ในมหาสมุทรด้วยระยะเวลานาน 7 นาที 56 วินาที
ศูนย์กลางเงาผ่านหมู่เกาะขนาดเล็กของเครือรัฐออสเตรเลียในมหาสมุทรอินเดีย แต่ผืนดินทางใต้ของเกาะสุมาตรากับด้านตะวันตกของเกาะชวาในประเทศอินโดนีเซีย จากนั้นผ่านช่องแคบกะริมาตา เกาะบอร์เนียว กับบางส่วนทางตอนเหนือของเกาะเซลีเบส สุริยุปราคาวงแหวนสิ้นสุดในเวลา 16.52 น. เป็นจังหวะที่ศูนย์กลางเงาหลุดออกจากผิวโลกในทะเลระหว่างเกาะเซลีเบสกับเกาะมินดาเนา
บริเวณที่เห็นสุริยุปราคาบางส่วนครอบคลุมทางใต้ของทวีปแอฟริกา มาดากัสการ์ บางส่วนของแอนตาร์กติกา ตะวันออกเฉียงใต้ของอินเดีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลีย (ยกเว้นแทสเมเนีย) รวมไปถึงบางส่วนทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีนแผ่นดินใหญ่
ประเทศไทยอยู่ในพื้นที่ที่สามารถเห็นสุริยุปราคาครั้งนี้เป็นชนิดบางส่วน ต้องใช้แผ่นกรองแสงหรือการสังเกตการณ์ทางอ้อม ภาคใต้เป็นบริเวณที่มีโอกาสเห็นดวงอาทิตย์แหว่งมากที่สุด โดยเฉลี่ยเริ่มเวลาประมาณ 16.00 น. บังเต็มที่ในเวลาประมาณ 17.00 น. และสิ้นสุดในเวลาประมาณ 18.00 น. โดยจะเห็นดวงอาทิตย์แหว่งทางซ้ายมือค่อนไปทางด้านบนเมื่อเทียบกับขอบฟ้า หลายจังหวัดทางด้านตะวันออกของภาคอีสาน จะยังคงเห็นดวงอาทิตย์แหว่งอยู่เล็กน้อยในจังหวะที่ดวงอาทิตย์ตกดิน
จาก http://www.snr.ac.th/wita/story/sun_moon2009.htm

วันจันทร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2552

มหัศจรรย์ ฝนดาวตกในปี 2552

1 มกราคม 2552 .........วรเชษฐ์ บุญปลอด
โดยทั่วไปในสภาพท้องฟ้าที่ดีไม่มีเมฆหมอกหรือแสงไฟฝุ่นควันรบกวน เราสามารถมองเห็นดาวตกบนท้องฟ้าได้เฉลี่ยราว 6 ดวงต่อชั่วโมง ในหลายช่วงของปีจะมีดาวตกที่ดูเหมือนพุ่งออกมาจากบริเวณเดียวกันบนท้องฟ้า เรียกว่าฝนดาวตก (meteor shower)
ฝนดาวตกเกิดขึ้นเมื่อโลกเดินทางฝ่าเข้าไปในธารสะเก็ดดาวที่ดาวหางทิ้งไว้ ดาวตกที่เกิดจากสะเก็ดดาวเหล่านี้มีหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มมีลักษณะของดาวตกที่เห็น และจำนวนความถี่แตกต่างกันตามแต่องค์ประกอบและความเร็วของสะเก็ดดาว ฝนดาวตกบางกลุ่มอาจมีอัตราต่ำเพียงไม่กี่ดวงต่อชั่วโมงแต่ยังก็เรียกว่าฝนดาวตกเนื่องจากมีแหล่งกำเนิดที่สังเกตได้ว่าดูเหมือนพุ่งออกมาจากบริเวณหนึ่งบนท้องฟ้า จุดนั้นเรียกว่าจุดกระจายฝนดาวตก (radiant) มักเรียกชี่อฝนดาวตกตามกลุ่มดาวหรือดาวที่อยู่ในบริเวณจุดกระจายฝนดาวตก
ฝนดาวตกกลุ่มดาวสำคัญ ๆ ส่วนใหญ่ในปีนี้ไม่มีแสงจันทร์รบกวน ที่น่าดูที่สุดอาจจะเป็นฝนดาวตกสิงโต จุดกระจายฝนดาวตกชุดนี้อยู่บริเวณหัวของกลุ่มดาวสิงโตซึ่งมีลักษณะคล้ายเคียว นักดาราศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านการพยากรณ์ดาวตกหลายคนคำนวณพบว่าปีนี้โลกจะฝ่าเข้าไปในธารสะเก็ดดาวที่ดาวหางเทมเพล-ทัตเทิลทิ้งเอาไว้ในปี ค.ศ. 1466 และ 1533 ทำให้คาดหมายว่าฝนดาวตกสิงโตในปีนี้จะมีอัตราการตกสูงสุดมากกว่า 100 ดวงต่อชั่วโมง หรือมากกว่า 1-2 ดวงต่อนาที (อาจมากกว่านี้ได้อีก) ในเวลาประมาณ 4.00-5.00 ของเช้ามืดวันพุธที่ 18 พฤศจิกายน ตามเวลาประเทศไทย รายละเอียดของผลการพยากรณ์จะนำเสนอต่อไปเมื่อมีข้อมูลเพิ่มเติม
นอกจากฝนดาวตกสิงโต ฝนดาวตกคนคู่ในเดือนธันวาคมก็น่าสนใจเช่นกัน เนื่องจากมีจำนวนมากทุกปีและไม่มีแสงจันทร์รบกวน จุดกระจายฝนดาวตกคนคู่อยู่ใกล้ดาวคาสเตอร์ในกลุ่มดาวคนคู่ ต้นกำเนิดของฝนดาวตกชุดนี้มาจากดาวเคราะห์น้อยฟีทอนซึ่งอาจเคยเป็นดาวหางมาก่อน


ฝนดาวตกในปี 2552

ควอดแดรนต์ วันที่ 3/4 ม.ค. เวลา 2.00 น.

พิณ วันที่ 22/23 เม.ย. เวลา 22.00 น.

อีตาคนแบกหม้อน้ำ วันที่5/6 พ.ค. เวลา 2.00 น.

เดลตาคนแบกหม้อน้ำวันที่27/28 ก.ค. เวลา 21.00 น.

เพอร์ซิอัส วันที่ 12/13 ส.ค. เวลา 22.00 น.

นายพราน วันที่ 21/22 ต.ค.. เวลา 23.00 น.

สิงโต วันที่ 17/18 พ.ย. เวลา 00.30 น.

คนคู่ วันที่ 13/14 ธ.ค. เวลา20.00 น.

หมายเหตุ
ตัวเลขสำหรับสถานที่ที่ท้องฟ้ามืดสนิท หากมีแสงจันทร์และมลพิษทางแสงรบกวน จะมีจำนวนดาวตกที่เห็นลดลงจากค่าในตารางนี้
คอลัมน์ "คืนที่มีมากที่สุด" เครื่องหมาย / ใช้คั่นคืนวันแรกกับเช้ามืดของอีกวันหนึ่ง เช่น 3/4 หมายถึงคืนวันที่ 3 ต่อเช้ามืดวันที่ 4
ดัดแปลงจากตารางฝนดาวตกประจำปีเผยแพร่โดย
องค์การอุกกาบาตสากล (International Meteor Organization - IMO)

วันพฤหัสบดีที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2552

"อิทธิพลดาวหางที่มีต่อโลก"

1. เกี่ยวกับแรงโน้มถ่วงหรื่อแรงดึงดูดโลก
2. เกี่ยวกับรับสีที่ดาวหางฉายมายังโลก รังสีที่ดาวหางแผ่ออกจากตัวมีทั้งแสงอาทิตย์สะท้อนจากฝุ่นและก๊าซ เมื่อดาวหางเข้าใหล้ดวงอาทิตย์มาก จากการตรวจสอบรังสีนี้ไม่มีความเข้มข้นที่ก่อให้เกิดอันตรายาต่อชีวิตมนุษย์,สัตว์ หรือพืชทีมีอยู่ในโลกแต่อย่างใด
3. ฝุ่นและก๊าซในหางของดาวหางที่หลุดออกจากอำนาจแรงดึงดูดส่วนใจกลางหัวจะกระจัดกระจายออกในอวกาศ ฝุ่นซึ่งเป็นอนุภาคของแข็งแผ่กระจายในระนาบวงโคจรดาวหางรอบดวงอาทิตย์ส่วนก๊าซฟุ้งกระจายไปและอาจถูกฟลักดันโดยอนุภาคไฟฟ้าในลมสุริยะสรุปได้ว่าดางหางไม่มีอิทธิพลต่อโลกหรื่อสิ่งมีชีวิตบนโลก

วันจันทร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2552

วันจันทร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2552






ดาวหางประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วน คือ
1.ใจกลางหัว หรือ นิวเคลียส (Nucleus)
2.หัว หรือ โคมา (Coma)
3.หาง (tail)

นิวเคลียสของดาวหางเป็น "ก้อนน้ำแข็งสกปรก" ประกอบด้วยน้ำแข็ง คาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน แอมโมเนีย และมีฝุ่นกับหินแข็งปะปนอยู่ด้วยกันเมื่อดาวหางเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ ความร้อนจากดวงอาทิตย์จะ ให้น้ำแข็งระเหิดเป็นไอ และปล่อยก๊าซออกมาเกาะกลุ่มเป็นทรงกลมขนาดมหึมาล้อมรอบนิวเคลียส เรียกว่า โคม่า โคม่าอาจมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางถึงหลายล้านกิโลเมตรก็ได้จากการศึกษาดาวหางในย่านความถี่อัลตราไวโอเลต พบว่า มีชั้นของไฮโดรเจน ห่อหุ้มดาวหางอีกชั้นหนึ่ง ไฮโดรเจนเหล่านี้เกิดจากไอน้ำที่แตกตัวอันเนื่องมาจากรังสีจากดวงอาทิตย์ก๊าซและฝุ่นพุ่งเป็นลำออกจากนิวเคลียสในด้านที่หันเข้าหาดวงอาทิตย์ หลังจากนั้นจะถูกลมสุริยะพัดให้ปลิวออกไปทางด้านหลั
หางของดาวหางยังแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ หางก๊าซ หรือ หาง
พลาสมา หรือ หางอิออน ประกอบด้วยอิออนและโมเลกุลที่ส่องสว่างโดยการเรืองแสง ถูกผลักออกไปโดยสนามแม่เหล็กในลมสุริยะ ดังนั้นความผันแปรของลมสุริยะจึงมีผลต่อการเปลี่ยนรูปร่างของหางก๊าซด้วย หางก๊าซจะอยู่ในระนาบวงโคจรของดาวหาง และชี้ไปในทิศเกือบตรงข้ามดวงอาทิตย์พอดี
หางอีกชนิดหนึ่งคือ หางฝุ่น ประกอบด้วยฝุ่นหรืออนุภาคอื่น ๆ ที่เป็นกลางทางไฟฟ้า ถูกผลักออกจากดาวหางด้วยแรงดันของรังสีในขณะที่ดาวหางใกล้ดวงอาทิตย์ หางของมันอาจยาวได้ถึงหลายร้อยล้านกิโลเมตร
ดาวหาง (Comet)เป็นวัตถุในท้องฟ้าที่ไม่มีแสงในตัวเองประกอบด้วยฝุ่นผง ก้อนนำแข็งและก๊าซแข็งตัว และจะเคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์เป็นรูปวงรีมาก ขณะที่อยู่ไกลจากดวงอาทิตย์จะไม่มีหาง ไม่มีแสงสว่าง เมื่อ โคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ พลังงานทั้งในรูปความร้อนและลมสุริยะ (อนุภาคมีประจุจะถูกปล่อยออกมาจากดวงอาทิตย์ สว่นใหญ่ประกอบด้วยโปรตอนและอิเลกตรอน) ทำให้นำแข็งกลายเป็นไอ ดาวหางจะขยายตัวใหญ่ขึ้น สว่างขึ้น และพลังงานดังกล่าวจะพลักดันให้หางพุ่งในทิศตรงข้ามกับดวงอาทิตย์ส่วนหางจะมีทั้งที่เป็นฝุ่น ฏ๊าซและโมเลกุลที่มีประจุไฟฟ้าดาวหางแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม1.Periodical Comets คือ ดาวหางที่มีวงโคจรแน่นอน เช่นดาวหางฮัลเลย์จะมาปรกฏให้เห็นทุกๆ 76 ปี2.Non-Periodical Come
ts คือดาวหางที่มีวงโคจรที่ไม่แน่นอน